ในการเดินทางไปเที่ยวนครวัดเมื่อปีที่แล้ว ผมได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตอันล้ำค่าผ่านมิตรภาพที่ไม่คาดฝันกับชายชาวกัมพูชาคนหนึ่ง เขาชื่อ โซพอน เป็นคนขับรถสามล้อรับจ้างที่ผมบังเอิญไปพบระหว่างทางไปยังปราสาทบายน วันนั้นอากาศร้อนอบอ้าวจนแทบหายใจไม่ออก แดดกล้าส่องแสงจ้าเหนือทุ่งนาอันกว้างใหญ่ที่ทอดตัวสุดลูกหูลูกตา ผมเดินมาตามถนนลูกรังอันขรุขระและมองหารถที่จะพาผมไปให้ถึงจุดหมาย จนกระทั่งสายตาไปสะดุดกับรถสามล้อคันหนึ่งที่จอดรออยู่ข้างทาง คนขับรถเป็นชายวัยกลางคนผิวสีแทน ใบหน้ากร้านแดดแต่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขายกมือไหว้ทักทายผมพร้อมกับพูดภาษาอังกฤษสำเนียงแปลกๆ ว่า “ซัวสเดย์ บอส ไปไหนดีครับ ผมจะพาคุณไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัยแน่นอน”
ผมตัดสินใจขึ้นรถสามล้อคันนั้นทันที และมันก็เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในการเดินทางครั้งนี้เลยก็ว่าได้ ระหว่างนั่งรถไปตามถนนสีแดงอิฐที่ตัดผ่านทุ่งนาสีเขียวขจี เราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตของกันและกัน ภาษากายเราอาจจะไม่ค่อยตรงกันนัก แต่หัวใจของเราสื่อถึงกันได้อย่างอบอุ่นประหลาด โซพอนเล่าให้ผมฟังถึงอดีตอันขมขื่นของเขา ความยากลำบาก การสูญเสียคนในครอบครัวไปในสงครามกลางเมือง และปมด้อยในใจที่เขาไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือสูงๆ เพราะต้องออกมาทำงานหาเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่ยังเด็ก ชีวิตของเขาฟังดูเหมือนบทภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยรอยแผลและน้ำตา
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ตัวเขากลับมีแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังและพลังใจ ใบหน้าของเขาไม่มีทีท่าของความโศกเศร้าหรือยอมแพ้ ราวกับว่าเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดเป็นเพียงบททดสอบให้เขาได้พิสูจน์ตัวเองและลุกขึ้นสู้ใหม่ จังหวะหนึ่งขณะที่รถกำลังแล่นฝ่าแสงแดดผ่านทุ่งนาอันเขียวขจี เขาหันมาบอกผมด้วยสีหน้ามุ่งมั่นว่า “โซพอนอาจจะเป็นแค่คนขับรถสามล้อธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่โซพอนก็ภูมิใจในสิ่งที่เป็นนะ ผมเป็นคนขยัน ซื่อสัตย์ และไม่เคยโกงใคร ผมตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดทุกวัน และที่สำคัญที่สุด รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้โดยสารคือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุดในชีวิต”
คำพูดของเขาสะกิดให้ผมนึกถึงข้อความของ Abraham Maslow นักจิตวิทยามนุษยนิยมคนสำคัญที่เคยกล่าวไว้ว่า “สิ่งที่มนุษย์สามารถเป็นได้ เขาจำเป็นต้องเป็นสิ่งนั้น ความจำเป็นนี้เราเรียกมันว่าการประจักษ์ในตนเอง” แม้โซพอนจะมีข้อจำกัดมากมายในชีวิตจากอดีตอันเลวร้ายและฐานะทางสังคมที่ต่ำต้อย แต่เขากลับเลือกที่จะเติมเต็มศักยภาพของตัวเองอย่างสุดความสามารถ เขาไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นแค่คนขับรถสามล้อ แต่เขาพยายามยกระดับตัวเองให้เป็นคนขับรถสามล้อที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เขาใส่ใจทุกรายละเอียดในหน้าที่การงาน ไม่ว่าจะเป็นความปลอดภัย ความสะอาด ไปจนถึงรอยยิ้มที่มอบให้ผู้โดยสารทุกคน เขาประจักษ์แจ้งในคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง เขารู้ว่าคุณค่านั้นอยู่ที่การทำสิ่งเล็กๆ อย่างตั้งใจและมีความสุข ไม่ใช่การมีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต แม้สิ่งที่เขามีจะดูเล็กน้อยในสายตาคนอื่น แต่เขาก็รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่และมีความหมายพอแล้วในแบบฉบับของเขา
เมื่อรถวิ่งมาใกล้ถึงปราสาทบายน โซพอนสังเกตเห็นสีหน้าที่ฉายแววกังวลของผม เขาจึงถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยว่าผมกำลังรู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องอะไรหรือเปล่า ผมจึงได้เล่าให้เขาฟังถึงความกังวลหลายๆ อย่างในชีวิต ทั้งเรื่องงานที่รู้สึกอึดอัดเพราะไม่ได้ทำในสิ่งที่รัก เรื่องความสัมพันธ์ที่ผิดหวังจากคนรักที่คิดว่าจะได้แต่งงานด้วยแต่สุดท้ายกลับเลิกรากันไป และเรื่องอนาคตที่ดูสับสนและอึมครึมราวกับก้อนเมฆที่บดบังทุกความฝัน
แต่โซพอนกลับระเบิดหัวเราะออกมาอย่างสดใส เสียงหัวเราะของเขาดังก้องท่ามกลางทุ่งนาอันเงียบสงบ เขายิ้มให้ผมอย่างให้กำลังใจแล้วพูดว่า “บอส ชีวิตคือการเดินทางนะ เส้นทางมันอาจจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เดี๋ยวก็ต้องเจอหินเจอกรวดบ้าง เดี๋ยวก็จะเรียบง่ายดีบ้าง เดี๋ยวก็จะมืดมิดบ้าง เดี๋ยวก็จะสว่างสดใสบ้าง แต่นั่นแหละคือเสน่ห์ของการเดินทาง มันคือการผจญภัยที่เต็มไปด้วยบทเรียนชีวิต มันอาจจะเจ็บปวดบ้าง ท้าทายบ้าง แต่มันก็มีความหมายและคุ้มค่าเสมอ ตราบใดที่เรายังไม่หยุดก้าวเดินไปข้างหน้า”
คำพูดของเขาเหมือนเสียงสะท้อนจากแนวคิดของนักจิตวิทยามนุษยนิยมอีกคน อย่าง Carl Rogers ที่เคยกล่าวไว้ว่า “ชีวิตที่ดีคือกระบวนการ ไม่ใช่การอยู่นิ่งกับที่ มันเป็นการเคลื่อนไปข้างหน้า ไม่ใช่การไปถึงจุดหมายปลายทาง” มันเป็นเสมือนกุญแจสำคัญที่ไขความคิดผมออก ทำให้ผมเข้าใจความหมายที่แท้จริงของความสุข ที่มันไม่ได้อยู่ที่การไปให้ถึงเป้าหมายชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการมีงานใหญ่โต มีคนรักที่สมบูรณ์แบบ หรือการมีชีวิตที่เพียบพร้อม ตามแบบฉบับที่สังคมวาดฝันเอาไว้ แต่ความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือการได้เดินทางบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยบททดสอบ ได้เผชิญหน้ากับความยากลำบาก ได้เรียนรู้ที่จะเข้มแข็งขึ้น ได้ค้นหาตัวเองและเติบโตไปพร้อมกับมัน เป็นความสุขจากการได้เคลื่อนไหว ไม่ใช่การได้หยุดนิ่ง จากการได้มุ่งไปข้างหน้าอย่างมีความหมาย ไม่ใช่จากการได้ไปถึงจุดหมายเพียงอย่างเดียว
แล้วโซพอนก็หันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง ราวกับจะมอบกำลังใจและปลอบประโลมหัวใจผมไปพร้อมกัน เขาพูดทิ้งท้ายไว้เป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะลงจากรถว่า “อดีตที่เราผ่านมามันเป็นเพียงบทนำของชีวิต มันไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่าเราเป็นใคร แต่เป็นเราต่างหากที่มีอำนาจเลือกได้ว่าจะเป็นอะไรในวันพรุ่งนี้ จงอย่ากลัวที่จะออกเดิน อย่ากลัวที่จะล้มเหลว เพราะทุกย่างก้าวจะนำเราไปสู่คนที่เราอยากเป็นในภายภาคหน้า” มันเป็นประโยคที่ช่างสอดคล้องกับคำกล่าวของ Carl Rogers ที่ว่า “ฉันไม่ใช่สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับฉันในอดีต แต่ฉันคือสิ่งที่ฉันเลือกที่จะเป็นในปัจจุบันและอนาคต”
การได้พบกับโซพอนในวันนั้น เสมือนเป็นการได้เจอครูชีวิตที่แสนพิเศษโดยบังเอิญ เขาเข้ามาสอนผมในช่วงเวลาที่ผมกำลังหลงทางในชีวิตตัวเอง ด้วยเรื่องราวชีวิตอันเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ด้วยปรัชญาชีวิตอันลึกซึ้งที่ถ่ายทอดผ่านคำพูดติดตลก เขาเป็นแรงบันดาลใจให้ผมหันมามองเห็นคุณค่าในตัวเอง กล้าที่จะเชื่อมั่นในเส้นทางที่เลือกเดิน ไม่ว่ามันจะขรุขระหรือไม่เรียบง่ายเพียงใด เขาทำให้ผมเข้าใจว่าความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต ไม่ใช่เครื่องหมายของความล้มเหลว แต่เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความกล้าหาญในการลุกขึ้นสู้ต่างหาก
นับตั้งแต่วันนั้น บทเรียนจากชายคนขับรถสามล้อผู้เป็นที่รักของนักท่องเที่ยวผู้นี้ ก็ได้ฝังรากลึกในจิตใจของผมเสมอมา มันเป็นดั่งแสงนำทางยามที่เส้นทางข้างหน้าดูมืดมน เป็นเสมือนเพื่อนคู่คิดยามที่ต้องตัดสินใจก้าวสำคัญของชีวิต ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ผมจะไม่มีวันลืมรอยยิ้มและแววตาอันเปี่ยมไปด้วยความหวังของโซพอน รวมถึงคำพูดอันทรงพลังของเขาที่ว่า สิ่งที่เราจะเป็นในวันพรุ่งนี้ ล้วนเกิดจากการเลือกของเราในวันนี้ทั้งสิ้น
การได้มาเยือนดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ จึงมิใช่เป็นเพียงทริปท่องเที่ยวธรรมดา หากแต่เป็นการเดินทางค้นพบตัวตนครั้งสำคัญ ผมได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้คนมากขึ้น ได้เปิดใจยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองและชีวิต ได้เห็นถึงความงดงามที่แท้จริงที่อยู่ในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ได้เชื่อมั่นในพลังที่จะก้าวข้ามผ่านอุปสรรคและความล้มเหลวไปได้ในทุกครั้ง การได้พบกับโซพอนเหมือนกับการได้เจอชิ้นส่วนที่หายไปของชีวิต ที่เข้ามาเติมเต็มและเยียวยาในเวลาที่ผมต้องการมากที่สุด
ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกการเดินทางคือบทเรียนของชีวิต ยิ่งเราเปิดใจออกไปสัมผัสโลกกว้าง เราก็จะยิ่งได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ ได้เห็นตัวเองในมุมมองที่ต่างไปจากเดิม ได้พบเจอผู้คนที่หลากหลาย ที่จะมาช่วยจุดประกายความคิดและขยายขอบฟ้าให้เรากว้างขึ้นไปอีก การได้ออกเดินทางบ่อยๆ จึงเป็นเหมือนการบ่มเพาะจิตวิญญาณให้เติบใหญ่และงดงามยิ่งขึ้น เป็นการขัดเกลาเราให้แข็งแกร่งทั้งกายและใจ พร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ในชีวิตได้ดียิ่งขึ้น
และการได้รู้จักกับโซพอนในครั้งนี้ ก็เป็นประจักษ์พยานอันชัดเจนว่า คนที่จะมาเปลี่ยนแปลงชีวิตเรานั้น อาจจะไม่ใช่คนพิเศษที่เราคาดหวังเสมอไป บางครั้งคนธรรมดาที่เราแค่ผ่านมาเจอ ก็สามารถทิ้งผลกระทบไว้ในใจเราได้ตลอดกาล ไม่ว่าจะด้วยคำพูด รอยยิ้ม หรือแม้กระทั่งแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง สิ่งเล็กๆ พวกนี้ต่างหากที่เป็นพลังสำคัญ ที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงเราให้เป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้เสมอ
ขอบคุณนครวัด ที่ให้มากกว่าความตื่นตาตื่นใจในความยิ่งใหญ่อลังการ ขอบคุณสำหรับทุกย่างก้าวแห่งการเดินทางที่เต็มไปด้วยความหมาย และที่สำคัญที่สุด ขอบคุณโซพอน คนขับรถสามล้อผู้แสนธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาสำหรับผม ที่เข้ามาในชีวิตผมเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ทิ้งแง่คิดและแรงบันดาลใจไว้ให้มากมายเหลือเกิน การได้พบเจอครูชีวิตเช่นเขาคือของขวัญล้ำค่าที่สุดจากการเดินทางครั้งนี้ และผมจะจดจำมันไปจนวันสุดท้ายของชีวิต