Monday, 23 December 2024

แท็กซี่ : เช้าที่มีความหมายไปตลอดกาล

11 Jun 2024
147

ในวันที่ผมต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศเป็นครั้งแรกในชีวิต ผมรู้สึกตื่นเต้นปนประหม่าอย่างบอกไม่ถูก มือที่จับกระเป๋าเดินทางชื้นเหงื่อ หัวใจเต้นระรัวไม่เป็นส่ำ ภาพความฝันและความกังวลผุดขึ้นสลับกันไปมาในห้วงคำนึง ผมทบทวนรายการสิ่งของที่ต้องเตรียมอีกครั้ง พยายามนึกถึงรายละเอียดต่างๆ ที่รอผมอยู่ แต่ก็ไม่วายเผลอคิดไปถึงสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้น สมองที่แสนกังวลช่างชอบเล่นตลกกับเราเสมอในยามเช่นนี้

ผมตัดสินใจเรียกแท็กซี่เพื่อไปสนามบินดอนเมืองในช่วงเช้าตรู่ แทนที่จะนั่งรถไฟฟ้าอย่างที่ตั้งใจไว้ก่อนหน้า ด้วยหวาดหวั่นว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันระหว่างทาง ทำให้ไปไม่ทันเที่ยวบิน แสงสีส้มอ่อนสาดส่องผ่านหน้าต่างรถ นับเป็นสัญญาณของวันใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยพลัง แต่ในใจผมกลับรู้สึกหวั่นไหวเหมือนใบไม้ที่กำลังจะร่วงหล่น บนท้องถนนที่เพิ่งตื่นจากความมืดมิด ผู้คนทยอยกันออกมาใช้ชีวิต บ้างรีบร้อนไปทำงาน บ้างกำลังออกกำลังกาย ส่วนผมกำลังจะเดินทางออกไปเจออะไรไม่รู้ ไกลจากบ้าน ไกลจากความคุ้นเคย ไกลจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง

แต่แล้วภาพเบื้องหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เมื่อผมเงยหน้าขึ้นสบตากับคนขับแท็กซี่ที่ยิ้มทักทายอย่างเป็นมิตร ราวกับรู้ว่าผมกำลังต้องการกำลังใจ แววตาที่อบอุ่นและรอยยิ้มที่จริงใจของเขา ละลายความกังวลในใจผมลงได้ในพริบตา ผมรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจขึ้นมาทันที ระหว่างการเดินทาง เราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตกันอย่างเป็นกันเอง ท่ามกลางสายลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านหน้าต่าง และเสียงเพลงเบาๆ จากวิทยุ บทสนทนาเรียบง่ายในยามเช้าตรู่ กลับกลายเป็นเรื่องราวชีวิตที่น่าประทับใจยิ่งนัก

พี่เขาเล่าถึงประสบการณ์การทำงานอันยาวนานบนท้องถนน ระหว่างเลี้ยวรถไปตามทางคดเคี้ยว เหมือนชีวิตคนเราที่ไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวท้าทายให้ฟันฝ่า พี่เขาบอกว่างานขับแท็กซี่ไม่ใช่งานที่ต้องใช้วุฒิการศึกษาสูง แต่ต้องอาศัยวุฒิภาวะทางอารมณ์มากพอสมควร เพราะต้องรับมือกับผู้คนหลากหลายในแต่ละวัน บางคนอารมณ์ดี บางคนอารมณ์ร้าย บางคนเงียบขรึม บางคนช่างพูดช่างคุย แต่ทุกชีวิตล้วนมีเรื่องราวของตัวเอง ถ้าเราเปิดใจรับฟังและเข้าใจพวกเขา เราก็จะได้เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมๆ กัน

พี่เล่าต่อว่า เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน พี่มีลูกค้าโทรเข้ามาเรียกรถแท็กซี่ โดยบอกว่าต้องการเดินทางไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปราวสิบกิโลเมตร แต่จุดนัดรับตัวอยู่ลึกเข้าไปด้านในของหมู่บ้านแรกถึงสองกิโลเมตร ซึ่งต้องผ่านป้อมยามและเส้นทางคดเคี้ยวเป็นระยะทางพอสมควรกว่าจะไปถึง พี่ตอบตกลงรับงานนี้และกดมิเตอร์วิ่งเข้าไปในหมู่บ้านทันที เพราะนั่นเป็นจรรยาบรรณในอาชีพที่พี่ยึดมั่นเสมอมา

แต่การเดินทางกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด ถนนภายในหมู่บ้านคดเคี้ยวและมีต้นไม้ใหญ่ขนาบสองข้าง บางช่วงแคบจนแทบจะสวนรถไม่ได้ พี่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการขับ กว่าจะวนไปวนมาจนไปถึงบ้านหลังนั้นได้ ก็เสียเวลาไปมากโข เมื่อผู้โดยสารขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว พี่จึงขับรถมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านที่เป็นจุดหมายต่อไป

แต่เมื่อจบการเดินทางอันแสนยาวนาน เรื่องราวกลับพลิกผันไปในทิศทางที่ไม่คาดคิด เมื่อผู้โดยสารปฏิเสธที่จะจ่ายค่าโดยสารเต็มจำนวนตามมิเตอร์ โดยให้เหตุผลว่าตกลงราคากันไว้ตั้งแต่แรกแล้ว จะจ่ายเพียงแค่ระยะทางจากหมู่บ้านแรกไปยังหมู่บ้านหลัง โดยไม่รวมระยะทางจากหน้าหมู่บ้านเข้ามาจนถึงบ้านของเขา ผู้โดยสารยื่นเงินให้เพียงครึ่งเดียวของค่าโดยสารทั้งหมด แล้วก็เดินลงจากรถไปอย่างไม่ใยดี ทิ้งให้พี่ยืนงงอยู่ข้างรถพร้อมความรู้สึกแปลกใจระคนสับสน

ผมรู้สึกโมโหแทนพี่เขาเป็นอย่างมาก คิดในใจว่าถ้าเป็นผมคงไม่ยอมแน่ๆ ต้องไล่ตามเอาเรื่องให้ได้ดังใจ ต่อให้ต้องเสียงดังโวยวายหรือแจ้งความก็ยอม ในเมื่อเราทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่แล้ว ก็ควรจะได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม แต่ปฏิกิริยาของพี่เขากลับสงบนิ่งอย่างน่าทึ่ง ใบหน้าของเขาไม่ปรากฏแม้แต่ริ้วรอยของความไม่พอใจ มีเพียงรอยยิ้มละมุนละไมที่ดูอ่อนโยนและเข้าใจมากกว่าเดิม พี่เขาเขับรถอย่างสงบนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาแต่หนักแน่นว่า

“เงินไม่กี่ร้อยบาทไม่ได้สำคัญเท่าจิตใจหรอกน้อง พี่ยอมเสียเงินไปดีกว่าต้องเสียใจในภายหลัง เพราะความรู้สึกดีๆ นั่นแหละคือสมบัติที่แท้จริงของชีวิต มันจะอยู่กับเราไปตลอด ต่างจากเงินทองที่มีวันหมดไป พี่เลือกที่จะไม่เอาเรื่องเพื่อแลกกับความสงบสุขและรอยยิ้ม เพราะการผูกใจเจ็บกับเรื่องแบบนี้ไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้นหรอก มีแต่จะบั่นทอนจิตใจเราเองต่างหาก ทั้งที่เราสามารถเลือกปล่อยวางมันเสีย เพื่อชีวิตที่เบาสบายและมีความสุขมากกว่านี้ได้นะ”

พี่เขาหันมามองผมด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยเมตตา ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นหัวใจว่า “การให้อภัยไม่ได้ทำให้เราด้อยค่าลง ในทางกลับกันมันทำให้เรากลายเป็นคนที่เข้มแข็งและใจกว้างมากขึ้น การมีชีวิตที่มีความสุข ไม่ได้ขึ้นกับว่าเราได้อะไรจากผู้อื่นมากแค่ไหน แต่ขึ้นอยู่กับว่าเรามอบสิ่งดีๆ ให้ผู้อื่นมากเพียงใด การให้โดยไม่หวังผลตอบแทน นั่นแหละคือสิ่งที่จะเติมเต็มหัวใจเราให้อิ่มเอิบที่สุด”

คำพูดของพี่เขาทำให้ผมนึกถึงคำสอนของ Dalai Lama ที่ว่า “จุดประสงค์หลักของชีวิตเราคือการช่วยเหลือผู้อื่น และถ้าคุณไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ ก็อย่าน้อยอย่าไปทำร้ายพวกเขาเลย” บางครั้งการช่วยเหลือไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่เสมอไป เพียงแค่ไม่ทำร้ายหรือไม่ตอบโต้อีกฝ่ายด้วยสิ่งเลวร้าย ก็นับว่าเป็นการช่วยเหพี่เขาจอดรถข้างทางสักพัก ก่อนจะหันมาสบตาผมพร้อมรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเข้าใจ พี่พูดอีกครั้งอย่างช้าๆ เหมือนจะย้ำให้ผมจดจำทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากใจ

“น้อง…จงจำไว้เสมอนะว่า ชีวิตคือการเดินทางที่เต็มไปด้วยเรื่องราวให้เรียนรู้ บางอย่างอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคาดหวังเสมอไป บางครั้งคนที่เราช่วยเหลือกลับตอบแทนเราด้วยการกระทำที่ไม่ดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการให้ของเราไร้ค่า หรือเราควรจะหยุดเป็นคนดี ตรงกันข้ามนะ มันยิ่งเป็นบทพิสูจน์ว่าเรากำลังเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง เพราะไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการเป็นคนที่มีจิตใจดีงามและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไม่ว่าใครจะตอบสนองต่อเรายังไงก็ตาม”

“บางคนเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ลืมไปว่าเราสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นอะไรในอนาคต เราไม่จำเป็นต้องถูกกำหนดด้วยเรื่องราวในอดีตเสมอไป แต่เรามีอำนาจในการสร้างเรื่องราวใหม่ๆ ด้วยตัวเอง สิ่งที่กำหนดตัวตนของเราไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา แต่เป็นวิธีที่เราเลือกจะตอบสนองต่อสิ่งนั้นต่างหาก การเปลี่ยนวิธีคิดและมุมมอง จะทำให้เราสามารถเปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส เปลี่ยนบาดแผลให้กลายเป็นบทเรียน และเปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ”

พี่เขาพูดถึงตรงนี้แล้วก็พยักหน้าให้ผมเหมือนเป็นสัญญาณให้ออกเดินทางต่อ พี่บีบแตรสองสามครั้งเป็นการส่งผมออกไปสู่การผจญภัยครั้งใหม่ ขณะที่รถแล่นออกมาบนถนนสายหลัก คำพูดของพี่ก็ยังก้องอยู่ในความทรงจำ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้เปลี่ยนไปในทันใด ผมรู้สึกเข้มแข็ง มั่นคง และพร้อมรับมือกับทุกเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นบนเส้นทางที่กำลังจะไป ความกลัวและความกังวลไม่อาจมาขวางกั้นเส้นทางของผมได้อีกต่อไป เพราะผมมีเครื่องมือสำคัญที่สุดในการเอาชนะอุปสรรคทั้งหลายแล้ว นั่นคือ ‘จิตใจที่เข้มแข็งและใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตา’

ผมเหลือบมองผ่านกระจกหน้ารถ เห็นแสงอาทิตย์สีทองอร่ามที่สาดส่องมาจากขอบฟ้า มันช่างงดงามเสียจนแทบจะเยียวยาหัวใจได้ ภาพความทรงจำในวันนี้จะติดตรึงอยู่ในห้วงคำนึงของผมตลอดไป ทั้งบทสนทนาแสนประทับใจ รอยยิ้มที่อบอุ่นของพี่แท็กซี่ และบทเรียนอันล้ำค่าที่ได้รับ มันจะเป็นเสมือนแรงบันดาลใจและพลังใจให้ผมเดินทางต่อไปอย่างมั่นคง ไม่ว่าจะต้องพบเจอกับอะไร ผมพร้อมแล้วที่จะเติบโตไปพร้อมกับมัน

ในบางครั้ง คนแปลกหน้าที่เราได้เจอเพียงชั่วครู่ กลับกลายเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตโดยไม่รู้ตัว การได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกัน ได้เปิดใจรับฟังและทำความเข้าใจกัน มักจะมอบอะไรดีๆ ให้เราเสมอ การเดินทางไม่ได้มีค่าแค่การไปถึงจุดหมาย แต่มันคือการได้เรียนรู้และเติบโตในทุกย่างก้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเรามีโอกาสได้แบ่งปันความรู้สึกนึกคิดกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน นั่นแหละคือเสน่ห์ที่แท้จริงของการออกเดินทาง ที่จะทำให้เราได้ค้นพบคุณค่าของตัวเอง พบความงดงามท่ามกลางสิ่งเรียบง่าย และพบกำลังใจจากคนที่ไม่คาดฝัน

ยิ่งเรามีโอกาสได้ออกไปพบปะผู้คนใหม่ๆ เรียนรู้วิถีชีวิตที่แตกต่าง และแลกเปลี่ยนเรื่องราวซึ่งกันและกันมากเท่าไหร่ จิตใจของเราก็ยิ่งจะเปิดกว้างและเข้มแข็งมากขึ้นเท่านั้น เหมือนกับที่ผมได้รับมาจากการเดินทางสั้นๆ แต่แสนจะประทับใจครั้งนี้
Trirat. Y.