Monday, 23 December 2024

สุขสั้น ทุกข์ยาว

ความสุขเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่นาน ขณะที่ความทุกข์มักคงอยู่ยืดยาวกว่า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราควรหมกมุ่นกับความทุกข์

สังคมมักมองว่าเมื่อมีสุข ก็ต้องมีทุกข์ตามมา หลายคนเชื่อว่าความสุขไม่คงทน เมื่อไหร่ก็หมดไปได้ จนไม่กล้าดื่มด่ำกับมัน แต่กลับเผลอไปจมอยู่กับความทุกข์ที่ไม่จำเป็นต้องอยู่กับมันนานขนาดนั้น

การเปรียบเทียบความสุขเหมือนพายุฝนฟ้าคะนอง ส่วนความทุกข์เป็นเหมือนฤดูฝน มันอาจไม่ยุติธรรม แต่นั่นคือธรรมชาติของชีวิต เราเลือกไม่ได้ว่าอะไรจะมาหรือไป แต่เราเลือกได้ว่าจะอยู่กับมันนานแค่ไหน

.

ยิ่งเราเข้าใจความจริงของชีวิต ที่ความสุขและความทุกข์หมุนเวียนสลับกันไป เราก็อาจปรับมุมมองใหม่ได้ ด้วยการ ‘รู้จักวางความสุขลงตอนมีโอกาส และหมั่นปลงความทุกข์เมื่อถึงคราวจำเป็น’ เพียงเท่านี้ใจเราก็จะสงบขึ้น เบาขึ้น พร้อมรับมือกับวัฏจักรแห่งชีวิตได้อย่างมีสติมากขึ้น

เคยสงสัยไหมว่าทำไมความสุขเวลามาเยือนจึงรู้สึกเพียงชั่วพริบตา แต่ความทุกข์กลับค้างคาใจได้นานเป็นวัน เป็นเดือน

เมื่อก่อนเราเคยคิดว่า ถ้าชีวิตนี้มีแต่ความสุข คงจะดีแค่ไหน เพราะแต่ละครั้งที่ได้พบกับความสุข ไม่ทันไรมันก็จบลงไวเสมอ ทิ้งให้หัวใจอ้างว้าง และพร้อมจะถูกความทุกข์เข้ามาแทนที่ได้ง่ายๆ แต่หลังจากได้ไตร่ตรองใคร่ครวญ เราก็เข้าใจแล้วว่า นั่นคือวิถีของชีวิต เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สุขและทุกข์คือของคู่กัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีอะไรคงทนถาวร เมื่อเราเข้าใจความจริงนี้ เราก็จะปล่อยวางได้ ด้วยการซาบซึ้งกับความสุขเมื่อมีโอกาส และก้าวข้ามผ่านความทุกข์ไปให้ได้เร็วที่สุด แค่นี้ใจเราก็เบาสบายขึ้นได้มากทีเดียว

ลองนึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขที่ผ่านมา มีสักกี่ครั้งที่เรามัวแต่กังวล และไม่ได้อยู่กับมันอย่างเต็มที่ กลัวว่ามันจะหมดไป และแล้วก็พลาดโอกาสดีๆไปโดยเปล่าประโยชน์

ไม่มีสุขไหนที่จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ เช่นเดียวกับไม่มีทุกข์ไหนที่จะฝังรากลึกอยู่ในใจตลอดไป ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกปล่อยวางได้เร็วแค่ไหน

“ความสุขเปรียบเสมือนผีเสื้อ ยิ่งไล่ตาม มันก็ยิ่งหนีห่าง แต่ถ้าหยุดนิ่ง มันจะโฉบมาเกาะที่ไหล่เราเอง” – Nathaniel Hawthorne

“คุณไม่สามารถห้ามนกแห่งความเศร้าโศกบินวนเหนือหัวได้ แต่คุณห้ามไม่ให้มันมาทำรังอยู่บนหัวคุณได้” – ข้อคิดจากชาวจีน

“ความสุข ทุกข์ พลัดเปลี่ยนเวียนมา บางคราวสุขก็มาพักพิง บางครั้งทุกข์ก็มาเยือนจิต” – สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

สุขและทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต แต่การผูกพันมัวหมองกับมันเกินควร ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ

Nathaniel Hawthorne นักเขียนชาวอเมริกัน เปรียบความสุขเหมือนผีเสื้อ ยิ่งตามไล่ จะยิ่งหนีห่าง แต่ถ้าปล่อยวาง มันจะโฉบเข้ามาหาเราเอง ขณะที่สำนวนจีนก็เตือนเราว่า แม้จะห้ามคราวเศร้าโศกเข้ามาไม่ได้ แต่เราสามารถไม่ยึดติดกับมัน ไม่ผูกมัดตัวเองไว้กับมันได้ และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ก็ทรงย้ำว่า สุขทุกข์เป็นของคู่กัน ผลัดเปลี่ยนกันมา บางครั้งสุขเยือน บางครั้งทุกข์มา เป็นวัฏจักรที่หมุนเวียนอยู่เช่นนี้

มีงานวิจัยจาก University of California, Riverside ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Emotion พบว่า ผู้ที่มีความสุขง่าย และแสดงออกทางบวกบ่อยๆ มีแนวโน้มที่จะรู้สึกแย่ลง และมีความสุขได้ยากขึ้นในระยะยาว เพราะเมื่อเจอเหตุการณ์เลวร้าย พวกเขามักรับมือได้ยากกว่า และใช้เวลาคืนสู่ความสุขนานกว่า

อีกงานวิจัยจากประเทศจีนในวารสาร Aging & Mental Health ที่สำรวจกลุ่มผู้สูงอายุ พบข้อสรุปที่น่าสนใจว่า คนที่หมกมุ่นอยู่กับความทุกข์ จะมีอายุสั้นกว่ากลุ่มที่ปล่อยวางได้เร็วถึง 18% โดยพวกเขามีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้า ความดัน เบาหวาน และอัลไซเมอร์ง่าย และมีคุณภาพชีวิตโดยรวมด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ความสุขและความทุกข์ อะไรคือสิ่งที่เรามักจะยึดติดมากกว่ากัน? ลองใคร่ครวญดูว่า ถ้าเราหัดปล่อยวาง โดยเฉพาะความทุกข์ให้เร็วขึ้นอีกสักนิด ชีวิตเราจะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน…

ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง มีชายชราที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย เขามีเพียงกระท่อมหลังน้อย ผืนนาเล็กๆ และวัวตัวโปรดเพียงตัวเดียว ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทางมานานหลายปี วันหนึ่ง วัวของเขาหนีหายเข้าป่าไป ชายชราพยายามตามหามันทั่วทุกที่แต่ก็ไร้วี่แวว เขารู้สึกเศร้าโศกอย่างที่สุด เหมือนสูญเสียเพื่อนรักไป คนในหมู่บ้านแห่กันมาให้กำลังใจ พร้อมเสนอความช่วยเหลือมากมาย แต่ชายชรากลับส่ายหน้า เขาเพียงพูดว่า “ใครจะไปรู้ได้ว่ามันดีหรือร้าย” เขาใช้ชีวิตต่อไป ไม่ยึดติดกับการสูญเสียนั้น ขณะที่คนหมู่บ้านก็สงสัยในท่าทีของเขา ว่าทำไมไม่เสียใจให้มากกว่านี้ หลายวันผ่านไป อยู่ดีๆวัวตัวนั้นก็กลับมาพร้อมกับวัวป่าอีกฝูงใหญ่ ชายชรายิ้มอย่างมีความสุข ส่วนลูกบ้านต่างพากันแสดงความดีใจ ยกย่องว่าเขาเป็นคนโชคดี แต่ชายชรากลับเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ใครจะไปรู้ได้ว่ามันดีหรือร้าย” คนทั้งหมู่บ้านต่างมองเขางุนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่ร่วมยินดีไปกับเรื่องดีๆที่เกิดขึ้น

ไม่นานนัก ลูกชายของเขาออกไปขี่ม้าตัวใหม่ จนพลัดตกลงมากระดูกขาหัก อีกครั้งที่ผู้คนมาร่วมเศร้าโศกกับเขา แต่เขาเพียงพูดประโยคเดิมว่า “ใครจะรู้ว่ามันดีหรือร้าย”

ต่อมาเมื่อเกิดสงคราม ทหารเกณฑ์ชายหนุ่มไปร่วมรบ มีแต่ลูกชายของเขาเท่านั้นที่ได้รับการยกเว้น เพราะเป็นคนพิการ ผู้คนต่างอิจฉาโชคชะตาของเขา แต่เขากลับไม่ปริปากพูดอะไร เพียงแต่ใช้ชีวิตเรียบง่ายต่อไปอย่างที่เคยเป็นมา

เรื่องราวของชายชราผู้เข้าใจความจริงของชีวิต สอนเราว่าทั้งโชคดีและร้าย ล้วนอยู่ในวัฏจักรเดียวกัน สลับหมุนเวียนมาให้เราเผชิญ เราเลือกที่จะยึดมั่นหรือปล่อยวางได้เสมอ

คุณคิดว่า ถ้าเราฝึกใช้ชีวิตแบบชายชราในเรื่อง ที่ไม่ยึดติดกับความสุขหรือความทุกข์ที่ผ่านเข้ามา แต่เลือกที่จะอยู่กับปัจจุบัน จะช่วยให้เราก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาดีๆ และร้ายๆในชีวิตได้อย่างสงบและเข้าใจมากขึ้นหรือไม่?

วางใจให้เป็นกลางในยามสุขทุกข์

1. รู้เท่าทัน: เมื่อมีสุขหรือทุกข์มาเยือน ให้รู้ตัวว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา ถือเป็นโอกาสฝึกใจให้เข้มแข็งขึ้น

2. มีสติ: ให้มีสติอยู่กับลมหายใจ ไม่วิ่งตามความคิดที่มากระทบ เพียงเฝ้าสังเกตอารมณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

3. ปล่อยวาง: ทั้งสุขและทุกข์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ให้ความสำคัญกับมันแค่พอดี ไม่ปล่อยให้อารมณ์มาชักจูงเราไปมากเกินไป

4. มองให้ไกล: ย้ำเตือนตนเองอยู่เสมอว่า ไม่มีอะไรคงทน เหตุการณ์ทั้งดีและร้ายล้วนผ่านเข้ามา แล้วก็ผ่านเลยไป

5. เข้าใจความไม่แน่นอน: ยอมรับความไม่แน่นอนของชีวิต บางทีเรื่องร้ายอาจนำมาซึ่งผลดี เรื่องดีก็อาจมีเรื่องร้ายแฝงอยู่ ไม่ด่วนตัดสิน

แม้จะฟังดูง่าย แต่การฝึกวางใจให้เป็นกลางนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องอาศัยการเจริญสติอย่างสม่ำเสมอ ฝึกสังเกตอารมณ์ตนเองอยู่เนืองๆ แต่หากทำได้ มันจะเป็นทักษะที่มีค่ามหาศาล ที่จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขท่ามกลางความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเจอกับอะไร เราก็พร้อมจะรับมือและผ่านพ้นมันไปได้ในที่สุด

จากที่กล่าวมาทั้งหมด คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความสุขเป็นเรื่องชั่วครั้งชั่วคราว ขณะที่ความทุกข์มักอยู่กับเรานานกว่า แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องผูกมัดตัวเองไว้กับความทุกข์เสมอไป

ดังเรื่องเล่าของชายชราที่แม้จะต้องเผชิญกับเรื่องร้ายต่างๆในชีวิต แต่เขาก็เลือกที่จะวางใจเป็นกลาง ไม่ปล่อยให้ความสุขหรือความทุกข์มาครอบงำจิตใจจนเกินไป ซึ่งนั่นทำให้เขามีชีวิตที่สงบ มั่นคง และพร้อมรับมือกับทุกเรื่องราวได้อย่างมีสติ ไม่หวั่นไหวไปกับสถานการณ์ภายนอก

และสิ่งนี้ก็สอดคล้องกับงานวิจัยที่บ่งชี้ว่า การหมกมุ่นอยู่กับความทุกข์นานเกินไป มีผลเสียต่อสุขภาพกายและใจเป็นอย่างมาก ดังนั้น วันนี้ขอให้เรามาเริ่มต้นฝึกวางใจให้เป็นกลางกันดูบ้าง ในยามที่มีความสุข ก็รู้จักดื่มด่ำกับมันอย่างรู้คุณค่า พร้อมทั้งไม่ลืมเตือนสติตัวเองว่า อย่ายึดมั่นถือมั่นมากนัก

หากเราฝึกบ่มเพาะใจให้เข้มแข็งและเป็นกลางท่ามกลางขึ้นๆลงๆของชีวิต เราก็จะไม่หวั่นไหวไปกับเรื่องดีหรือร้ายที่ผ่านเข้ามา แต่เลือกเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง พร้อมเบิกบานรับทุกรุ่งอรุณใหม่ด้วยรอยยิ้มและสายตาที่เปี่ยมด้วยความหวัง เพราะเรารู้แล้วว่า ไม่ว่าชีวิตจะพบเจอกับอะไร เราก็สามารถก้าวข้ามผ่านมันไปได้เสมอ ขอเพียงเราไม่ยึดติด และพร้อมจะเข้าใจความจริงของสรรพสิ่ง

ถ้าให้นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่เรารู้สึกสุขที่สุดและทุกข์ที่สุดในชีวิตที่ผ่านมา เราได้เรียนรู้อะไรจากช่วงเวลาเหล่านั้นบ้าง? มันสอนอะไรเราเกี่ยวกับการใช้ชีวิต? เกี่ยวกับตัวเราเอง? ลองเขียนเป็นบันทึกสั้นๆไว้เตือนใจตัวเองดู ในยามที่กำลังหลงไปกับความสุขหรือความทุกข์จนลืมความเป็นจริงของชีวิต