การยอมรับทุกความต้องการของลูกน้อง ไม่ใช่ลักษณะของผู้นำที่แท้จริง
หากแต่อาจบั่นทอนความเป็นผู้นำโดยไม่รู้ตัว ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง หลายคนเข้าใจผิดว่าการเอาใจลูกน้องไว้ก่อน ตามใจทุกอย่าง จะช่วยสร้างแรงจูงใจในการทำงาน แต่จริงๆแล้ว การขาดความชัดเจนและกล้าตัดสินใจ อาจส่งผลให้พนักงานสับสนและไม่เคารพในตัวผู้นำได้ ผู้นำที่แท้จริงต้องรู้จักสร้างสมดุลระหว่างการรับฟังความต้องการของลูกน้อง กับการตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อส่วนรวม บางครั้งอาจต้องปฏิเสธคำขอบางอย่าง ถ้ามันไม่สอดคล้องกับเป้าหมายหรือคุณค่าขององค์กร และอธิบายเหตุผลให้ลูกน้องเข้าใจอย่างสร้างสรรค์ เมื่อผู้นำกล้าแสดงจุดยืน มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน พร้อมกับให้เกียรติความคิดเห็นของลูกน้อง ลูกน้องจะให้ความเคารพและเชื่อมั่นในตัวผู้นำมากขึ้น การปฏิเสธอย่างมีเหตุผลในบางครั้ง ไม่ได้ทำให้ดูเป็นผู้นำที่เลวร้าย หากแต่จะสะท้อนถึงความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบที่มีต่อส่วนรวม
คุณเคยเจอผู้นำที่พยายามเอาอกเอาใจลูกน้องเกินไปจนดูไม่น่าเชื่อถือไหม
เราเองก็เคยคิดเหมือนกันว่าการทำตามที่ลูกน้องต้องการได้มากที่สุด จะยิ่งสร้างความประทับใจและแรงบันดาลใจในการทำงาน เราจึงพยายามอนุมัติคำขอต่างๆของพนักงานแทบทุกอย่าง หลีกเลี่ยงการปฏิเสธ เพราะกลัวเสียความรู้สึก แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรากลับรู้สึกว่าลูกน้องให้ความเคารพเราน้อยลง ไม่ค่อยทุ่มเทกับงาน บางครั้งก็ใช้เวลาไปกับการขอโน่นขอนี่มากกว่าการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริง จนกระทั่งได้ไปเจอเพื่อนที่เป็น CEO อีกบริษัทคุยให้ฟัง เราถึงเข้าใจว่าการเป็นผู้นำที่ดี ไม่ใช่การเอาอกเอาใจตลอดเวลา แต่เป็นการผสมผสานกันระหว่างความเข้าใจกับความเด็ดขาด มีจุดยืนที่ชัดเจนแต่ก็พร้อมรับฟัง ตอนนี้เราเรียนรู้ที่จะกล้าปฏิเสธในบางเรื่อง ถ้ามันจะนำไปสู่ผลเสียต่อส่วนรวม ทุกครั้งที่ต้องตัดสินใจอะไร เราจะอธิบายให้ลูกน้องเข้าใจถึงเหตุผล มากกว่าจะสั่งด้วยอำนาจ เรารู้สึกว่าการปรับสมดุลแบบนี้ทำให้ลูกน้องเคารพและไว้วางใจในตัวเรามากขึ้น องค์กรก็มีทิศทางที่ชัดเจนขึ้นด้วย
แล้วคุณผสมผสานการรับฟังความต้องการของลูกน้องกับการกล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้องได้ลงตัวแค่ไหน ให้คะแนนตัวเองตั้งแต่ 1-10 ดู (1 คือยอมทำตามลูกน้องหมดทุกอย่าง, 10 คือ กล้ายืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง พร้อมอธิบายเหตุผลอย่างสร้างสรรค์)
CEO ที่ดูเหมือนเอาอกเอาใจลูกน้องตลอดเวลา อาจไม่ใช่ขวัญใจลูกน้องอย่างที่คิด
“ผู้นำที่ดีต้องรู้จักปฏิเสธ ไม่ใช่เพื่อความอยากได้ แต่เพื่อสิ่งที่ต้องการ” – Warren Buffett
“ความเป็นผู้นำคือการทำสิ่งที่ถูกต้อง แม้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ได้รับความนิยม ผู้นำต้องรู้ว่าเมื่อไรควรฟังเสียงส่วนใหญ่ เมื่อไรต้องตัดสินใจเอง” – Bill Gates
“การกล้าหาญที่จะพูดความจริง ถึงแม้จะทำให้ไม่เป็นที่พึงพอใจของคนกลุ่มใหญ่ ถือเป็นคุณสมบัติของผู้นำที่ดี” – พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
แม้ผลสำรวจจะบอกว่าลูกน้องอยากได้อะไร แต่สิ่งนั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่องค์กรต้องการเสมอไป
Warren Buffett ชี้ให้เห็นว่าการเป็นผู้นำที่ดี ต้องรู้จักปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ปฏิเสธเพราะความอยากได้ แต่เพื่อมุ่งสู่สิ่งที่ต้องการที่แท้จริง ในขณะที่ Bill Gates เน้นว่าผู้นำต้องสามารถตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้อง ถึงแม้บางครั้งอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นที่นิยม และต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่าเมื่อไรควรฟัง เมื่อไรควรตัดสินใจเอง และ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ท่านมองว่า การกล้าพูดความจริง ถึงแม้จะทำให้ไม่เป็นที่ถูกใจของคนส่วนใหญ่ ก็ยังเป็นคุณสมบัติสำคัญของการเป็นผู้นำ
ความคิดเหล่านี้สอดคล้องกับผลการศึกษาด้าน Leadership ในปัจจุบัน ที่พบว่ารูปแบบผู้นำที่มีประสิทธิภาพสูงสุด คือ แบบ Transformational Leadership ซึ่งเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจน กล้าตัดสินใจ พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้ทีมงาน โดยไม่ใช่ผู้นำแบบ Laissez-faire ที่ปล่อยให้ลูกน้องทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ โดยไม่มีกรอบหรือทิศทางที่ชัดเจน
งานวิจัยยังพบอีกว่าผู้นำแบบ TL มักใช้ทั้งอารมณ์และเหตุผลในการโน้มน้าวใจ เน้นการสื่อสารแบบสองทาง เปิดโอกาสให้ลูกน้องแสดงความคิดเห็น แล้วตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่ครบถ้วน ไม่ใช่ด้วยอารมณ์หรือความอยากเอาใจ
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเรื่อง Servant Leadership ที่ผู้นำจะให้ความสำคัญกับการเสริมพลังและตอบสนองความต้องการของลูกน้องเป็นหลักก็จริง แต่จะต้องอยู่ภายใต้กรอบที่ไม่ขัดต่อคุณค่าและเป้าหมายขององค์กรด้วย หากผู้นำเน้นจะรับใช้ลูกน้องจนมากเกินไป อาจกลายเป็นการ “ตามใจ” มากกว่า “รับใช้” และในระยะยาวอาจทำให้ลูกน้องเสียศูนย์หรือไม่ทุ่มเทกับงานได้
ลองนึกถึงคำขอของลูกน้องที่ผ่านมา มีเรื่องอะไรที่คุณรู้สึกลังเลหรือไม่สบายใจที่จะอนุมัติ แต่ก็ยังตามใจลูกน้องไปเพราะไม่กล้าปฏิเสธ เรื่องเหล่านั้นมีผลต่อการทำงานหรือบรรยากาศในทีมอย่างไรบ้าง และถ้าคุณกลับไปเผชิญสถานการณ์แบบนั้นอีกครั้ง คุณจะจัดการมันต่างไปจากเดิมอย่างไร
(Years) ในปี 2010 เจสันเพิ่งเลื่อนขึ้นมารับตำแหน่ง CEO ของบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง หลังจากตำแหน่ง Creative Director มานาน เขาอยากสร้างบรรยากาศการทำงานที่ผ่อนคลายและเป็นกันเองให้กับลูกน้อง เพราะเจสันเชื่อว่ามันจะกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ได้ดี
สิ่งที่เจสันใฝ่ฝันคือ การเห็นลูกน้องทุกคนมีความสุข ทำงานอย่างมีแรงบันดาลใจ และไม่รู้สึกอึดอัดกับการทำงานเลย เขาจึงพยายามเอาใจทุกฝ่าย ไม่ว่าลูกน้องจะมาขออะไร เจสันมักจะตอบตกลงไปเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพิ่มโบนัส ลดเวลาทำงาน หรือขอไปเที่ยวประชุมทั้งที่ไม่จำเป็นก็ตาม เจสันไม่กล้าปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้ลูกน้องเสียความรู้สึก
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เจสันเริ่มสังเกตเห็นว่าลูกน้องไม่ค่อยเคารพในตัวเขาเท่าที่ควร การประชุมเริ่มขาดความเป็นระเบียบ หลายครั้งพนักงานเอาเวลาไปพูดเรื่องส่วนตัว ทะเลาะกันในที่ประชุม บางคนก็แอบทำงานอื่นในเวลางาน เจสันรู้สึกสับสนว่าทำไมการเอาใจลูกน้องในทุกเรื่อง กลับไม่ได้ส่งผลดีต่อการทำงานอย่างที่คิด
เจสันจึงเริ่มหันมาใช้ระเบียบกฎเกณฑ์มากขึ้น ยกเลิกสิทธิพิเศษบางอย่างที่เคยให้ไป และเรียกลูกน้องมาคุยตักเตือนเรื่องการวางตัวในที่ทำงานบ่อยๆ แต่เขากลับรู้สึกแย่ที่ต้องเข้มงวด เหมือนตัวเองไม่ใช่ผู้นำที่ใจดีตามที่หวังไว้ ลูกน้องหลายคนก็เริ่มแสดงท่าทีไม่พอใจเมื่อเจสันไม่ยอมอนุมัติคำขอเหมือนแต่ก่อน ทำให้บรรยากาศในทีมตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายเจสันจึงยอมผ่อนปรนลูกน้องในหลายเรื่อง เพียงเพื่อให้ได้เห็นพวกเขามีความสุขกับการทำงานเหมือนเดิม เจสันคิดว่าแค่เห็นลูกน้องสบายใจ รู้สึกรักที่ทำงาน ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วในฐานะ CEO
แต่ผลการดำเนินงานของบริษัทกลับถดถอยลง ลูกค้าหลายรายยกเลิกสัญญา โปรเจ็คต์ใหม่ๆไม่ได้รับความสนใจ พนักงานก็ไม่ค่อยทุ่มเทกับงานเท่าที่ควร ทีมงานขาดเป้าหมายที่ชัดเจน บอร์ดบริหารจึงขอคุยกับเจสัน แจ้งให้เขาทราบว่าถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ อาจต้องพิจารณาเรื่องการเปลี่ยนแปลงผู้นำ เจสันรู้สึกช็อคมาก เขาคิดมาตลอดว่าการเป็น CEO ที่ถูกใจลูกน้อง จะทำให้ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี แต่สิ่งที่ตามมากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ด้วยความกดดัน เจสันจึงตัดสินใจขอคำปรึกษาจากเพื่อน CEO ของบริษัทอื่น ซึ่งแนะนำให้เขาทบทวนบทบาทของผู้นำใหม่ การเป็นผู้นำไม่ได้หมายถึงการเอาใจลูกน้องอย่างเดียว แต่คือการพาทีมไปสู่ความสำเร็จให้ได้ ซึ่งบางครั้งต้องตัดสินใจเด็ดขาดเพื่อส่วนรวมบ้าง พูดคุยทำความเข้าใจกันดีๆ ลูกน้องย่อมเข้าใจและเคารพในตัวผู้นำที่กล้ายืนหยัด เจสันเลยตั้งใจปรับเปลี่ยนสไตล์ผู้นำใหม่ เน้นการสื่อสารเป้าหมายที่ชัดเจน ให้เสรีภาพแต่ในกรอบที่เหมาะสม และกล้าปฏิเสธคำขอใดๆที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม พร้อมอธิบายด้วยเหตุผล
การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ทำให้เจสันเข้าใจแล้วว่า ผู้นำที่แท้จริงไม่ใช่คนที่ลูกน้องรักที่สุด แต่เป็นคนที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ทีมบรรลุเป้าหมายร่วมกันได้ บางครั้งความนิยมชมชอบจากลูกน้อง ก็ไม่ได้การันตีประสิทธิภาพในการทำงานเสมอไป การปฏิเสธไม่ได้ทำให้เราเลวร้าย หากเราอธิบายเหตุผลให้เข้าใจ ที่สำคัญ การมีจุดยืนและสื่อสารทิศทางชัดเจน จะช่วยให้ทีมเดินหน้าไปสู่เป้าหมายได้อย่างมั่นใจ ไม่หลงทาง ซึ่งนั่นต่างหากที่จะสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาจากลูกน้องในระยะยาว
ผู้นำที่ต้องการความรักจากลูกน้อง มักได้สิ่งนั้นมาพร้อมกับการสูญเสียความเคารพนับถือไป
หากคุณเป็นเจสัน หลังจากตระหนักว่าตนเองเอาใจลูกน้องมากเกินไปจนเสียผลงาน คุณจะเริ่มต้นปรับสมดุลการเป็นผู้นำอย่างไร ลองเลือกเรื่องหรือคำของ่ายๆของลูกน้องที่ถ้าไม่อนุมัติก็ไม่เป็นไร 1 เรื่อง แล้วฝึกพูดปฏิเสธด้วยเหตุผลและข้อเสนอทางเลือกอื่นๆ โดยไม่ทำให้ลูกน้องรู้สึกแย่จนเกินไป คุณคิดว่าควรใช้คำพูดแบบไหน น้ำเสียงอย่างไร เพื่อให้ลูกน้องเข้าใจและยอมรับได้ง่าย
วิธีสร้างสมดุลความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและเอาใจใส่
1. กำหนดเป้าหมายและคุณค่าหลักขององค์กรให้ชัดเจน ใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินใจเวลาเจอคำขอที่ไม่จำเป็น
2. รับฟังความคิดเห็นของลูกน้องอย่างตั้งใจ แต่พร้อมอธิบายเหตุผลด้วยความจริงใจเมื่อต้องปฏิเสธบ้าง
3. สร้างบรรยากาศให้ลูกน้องกล้าแสดงความคิดเห็น แต่ต้องแยกแยะให้ออกว่าอะไรคือเรื่องส่วนตัว อะไรคือเรื่องงาน
4. ใช้การสื่อสารทั้งแบบทางการและไม่เป็นทางการ เพื่อให้เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกน้อง แล้วหาจุดตรงกลางที่ลงตัว
5. กล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้อง ถึงแม้จะไม่ได้รับความนิยมชมชอบเสมอไป แต่ต้องอธิบายให้ลูกน้องเห็นภาพรวมและประโยชน์ระยะยาว
การสร้างสมดุลแบบนี้อาจไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ลูกน้องอาจรู้สึกขัดใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนจะซาบซึ้งถึงคุณค่าของการมีผู้นำที่เข้มแข็ง กล้าหาญ แต่ก็เข้าอกเข้าใจคน รู้ว่าเมื่อไรควรยืดหยุ่น เมื่อไรต้องยืนหยัด ทีมที่มีผู้นำลักษณะนี้มักจะทำผลงานได้ดี เพราะมีความชัดเจนในเป้าหมาย และมีพลังใจจากการที่รู้ว่าตนเองมีคุณค่าต่อองค์กร ไม่ใช่แค่เป็นเด็กเอาใจที่ต้องตามใจตลอดเวลา
สุดท้ายนี้ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้วัดกันที่ความนิยมชมชอบ แต่อยู่ที่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับทีมและองค์กร การเอาใจลูกน้องเกินพอดีอาจได้ใจในระยะสั้น แต่การสร้างสมดุลระหว่างความเป็นมิตรและความเด็ดเดี่ยว จะนำมาซึ่งความเคารพศรัทธาที่จะอยู่กับผู้นำไปนานแสนนาน
เรื่องราวของเจสัน เป็นกระจกสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจผิดๆของผู้นำยุคใหม่ที่มักจะย้ำแต่เรื่องของการเอาใจลูกน้อง จนลืมพิจารณาถึงเป้าประสงค์ที่แท้จริงขององค์กรไป ซึ่งนำไปสู่ความอ่อนแอในการตัดสินใจเชิงธุรกิจ และความสับสนของทีมงานในที่สุด
หากวันนี้ คุณรู้สึกว่ากำลังหลงทางอยู่ในวังวนของการพยายามเป็นผู้นำที่ทำตามใจลูกน้องเกินพอดี ลองกลับมาคิดทบทวนใหม่ว่า สิ่งที่คุณกำลังทำนั้น สอดคล้องกับเป้าหมายที่แท้จริงขององค์กรหรือไม่ ถ้าไม่ อย่ากลัวที่จะหยุด และปรับเปลี่ยนบทบาทของตัวเอง บางครั้งการกล้าพูดความจริงและยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง ถึงแม้มันจะทำให้คุณไม่ใช่ที่หนึ่งในใจลูกน้องชั่วคราว แต่มันจะย้ำเตือนให้ทุกคนเห็นคุณค่าของการมีผู้นำที่แท้จริง ผู้นำที่กล้าแข็งพอจะพาทุกคนฝ่าฟันอุปสรรค ก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ด้วยกัน และนั่นต่างหากที่ลูกนำที่แท้จริง
แล้วคุณล่ะครับ เป็นผู้นำแบบไหน มาแบ่งปันประสบการณ์กันได้นะครับ