Monday, 23 December 2024

Internet – เครือข่ายที่ปฏิวัติโลก

Internet – Revolutionized communication, commerce, and information exchange globally
เรื่อง “Internet – เครือข่ายที่ปฏิวัติวงการสื่อสาร การค้า และการแลกเปลี่ยนข้อมูลทั่วโลก”

Internet ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีธรรมดา แต่เป็นพลังที่สั่นคลอนโลก ปฏิวัติรูปแบบการดำเนินชีวิต ตลอดจนระบบเศรษฐกิจและสังคมของมนุษย์จากหน้ามือเป็นหลังมือ

ย้อนกลับไปในยุคก่อน Internet เราต้องใช้เวลาเป็นวันหรือหลายสัปดาห์เพื่อส่งจดหมายข้ามทวีป โทรศัพท์ทางไกลก็มีราคาแพงหูฉี่ การหาข้อมูลต้องไปค้นหนังสือในห้องสมุดหรือถามผู้รู้ การทำธุรกิจส่วนใหญ่เน้นตลาดในประเทศ และการแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างผู้คนมีข้อจำกัดอย่างมาก หลายคนจึงมองว่า Internet ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นเพียงของเล่นไร้สาระของเหล่านักวิทยาศาสตร์เท่านั้น

แต่ด้วยคุณสมบัติที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และผู้คนเข้าด้วยกันได้อย่างไร้ขีดจำกัด Internet ได้กลายเป็นเครือข่ายที่ปลดปล่อยศักยภาพทางการสื่อสารของมนุษย์ มันไม่เพียงช่วยให้เราสามารถส่งอีเมล คุยโทรศัพท์ผ่านเน็ต หรือค้นหาข้อมูลได้อย่างง่ายดาย หากยังเป็นพื้นที่สาธารณะที่ผู้คนสามารถแบ่งปันความคิด แลกเปลี่ยนมุมมอง และสร้างชุมชนออนไลน์ระหว่างกันได้ มันกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่ความรู้ กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

ด้วยพลังในการเชื่อมต่อที่ไร้ขีดจำกัดและอิสระ Internet ได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกยุคดิจิทัล ผ่านการเกิดขึ้นของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและสตาร์ทอัพมากมาย กำลังซื้อถูกกระจายสู่ผู้บริโภคทั่วโลก ในขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กก็สามารถเข้าถึงตลาดในระดับนานาชาติได้อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ความสำเร็จของยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon, Alibaba และ Airbnb ได้พิสูจน์แล้วว่า Internet คือหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์เดิมๆ และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ อย่างมหาศาล

คุณจินตนาการได้ไหมว่าถ้าวันนึงไม่มี Internet ชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไปขนาดไหน แล้วเราจะยังสามารถติดต่อสื่อสารและดำเนินธุรกิจข้ามโลกได้สะดวกเหมือนปัจจุบันอีกหรือไม่?

สำหรับผมแล้ว Internet ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผมได้ติดต่อกับผู้คนทั่วโลก เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ และสร้างอาชีพที่ไม่จำกัดอยู่แค่พื้นที่ทางกายภาพอีกต่อไป

ผมยังจำความทึ่งในวันแรกที่ได้ใช้ Internet ได้ดี มันเป็นโลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยเสียงและสีสัน ข้อมูลมหาศาลที่รอให้เราได้สำรวจ และผู้คนมากมายจากทั่วทุกมุมโลกที่พร้อมจะแบ่งปันเรื่องราวและมุมมองหลากหลาย แม้เราจะไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริง แต่ก็รู้สึกเหมือนได้เชื่อมต่อกันอย่างใกล้ชิด มันเหมือนประตูมิติที่เปิดออกสู่อีกขอบฟ้า ที่เราสามารถไปได้ไกลกว่าที่เคยจินตนาการ

ยิ่งได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของ Internet ผมก็ยิ่งทึ่งในความทะเยอทะยานและวิสัยทัศน์ของบรรดาผู้บุกเบิกอย่าง Vint Cerf, Bob Kahn และ Tim Berners-Lee ที่กล้าฝันและลงมือสร้างเทคโนโลยีชิ้นนี้ขึ้นมา ท่ามกลางความไม่แน่นอนและการต่อต้านมากมาย พวกเขายังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของการสื่อสารแบบเปิดและเสรี ซึ่งผลลัพธ์ก็คือการปฏิวัติครั้งสำคัญที่เปลี่ยนโฉมหน้าของโลกไปตลอดกาล

แต่ Internet ก็ไม่ได้มีแต่ด้านสว่างเสมอไป ในอีกมุมมันก็เป็นดั่งกระจกสะท้อนด้านมืดของสังคมเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดส่วนตัว การแพร่ข่าวปลอม หรือการโจมตีทางไซเบอร์ สิ่งเหล่านี้ทำให้เราต้องหันกลับมาถามตัวเองว่าเสรีภาพบนโลกออนไลน์ที่ได้มา จะต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงหรือภัยคุกคามรูปแบบใหม่หรือไม่?

“ผลกระทบของ Internet ที่มีต่อสังคมนั้นประเมินค่าไม่ได้ มันเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีไม่กี่อย่างที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนไปอย่างสิ้นเชิง” – Vint Cerf บิดาแห่ง Internet

“การเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ตเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ ที่ไม่เพียงเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสาร แต่ยังขับเคลี่อนเศรษฐกิจและสังคมโลกเข้าสู่ยุคสารสนเทศอย่างเต็มตัว” – Manuel Castells นักสังคมวิทยาชื่อดัง

“Internet เป็นเทคโนโลยีที่อันตราย เพราะมันให้อำนาจกับปัจเจกมากเกินไป ทำให้รัฐบาลยากที่จะควบคุมการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสาร ซึ่งนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองได้ง่าย” – Eric Schmidt อดีต CEO ของ Google

Internet อาจจะเป็นเหมือนยาวิเศษที่แก้ปัญหาได้แทบทุกอย่าง แต่ในอีกด้านมันก็เหมือนกับมีดสองคมที่อาจบาดผู้ใช้เองได้โดยไม่รู้ตัว คำถามคือเราจะหาสมดุลระหว่างเสรีภาพกับการควบคุมบนโลกออนไลน์ได้อย่างไร โดยที่ไม่ลิดรอนคุณประโยชน์ของเทคโนโลยีชิ้นนี้?

Vint Cerf บิดาแห่ง Internet ได้ยืนยันอย่างหนักแน่นถึงผลกระทบมหาศาลของเทคโนโลยีชิ้นนี้ที่มีต่อมนุษยชาติ มันไม่เพียงแค่เปลี่ยนรูปแบบการสื่อสาร แต่ยังเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ Manuel Castells ยังชี้ให้เห็นอีกว่า Internet คือจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ที่นำพาเศรษฐกิจและสังคมของเราก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ มันเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ขับเคลื่อนธุรกิจและการพัฒนาในหลายภาคส่วน

อย่างไรก็ตาม Eric Schmidt อดีต CEO Google ก็ได้ตั้งข้อสังเกตถึงด้านมืดของ Internet ที่อาจจะอันตรายเกินกว่าที่หลายคนคาดคิด เมื่ออำนาจการสื่อสารกระจายไปสู่ปัจเจก การควบคุมและปกป้องความมั่นคงของข้อมูลก็ยากขึ้น ประเด็นอ่อนไหวทางสังคม การเมือง ถูกส่งต่อและขยายวงกว้างได้ง่ายเพียงไม่กี่คลิก ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบได้เช่นกัน

งานวิจัยจาก McKinsey Global Institute ระบุชัดเจนว่า Internet กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างงานใหม่ๆ ผ่านการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ, อุตสาหกรรมไอที และบริการดิจิทัล อีกทั้งยังช่วยสร้างโอกาสให้ SME เข้าถึงตลาดโลก ขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าและบริการได้สะดวกขึ้น คาดว่า Internet มีส่วนขับเคลื่อน GDP โลกถึง 3-4% เลยทีเดียว

สอดคล้องกับอีกงานวิจัยจาก Pew Research Center เผยว่า Internet ส่งผลต่อชีวิตผู้คนทั่วโลกอย่างมหาศาล จากการสำรวจในปี 2018 พบว่ากว่า 89% ของชาวอเมริกันใช้ Internet ในขณะที่มีผู้ใช้งานทั่วโลกแล้วกว่า 4 พันล้านคน ผู้คนใช้ Internet เพื่อติดต่อสื่อสาร ค้นหาข้อมูล ซื้อของออนไลน์ และใช้บริการสตรีมมิ่ง โดยเฉลี่ยแล้วคนเราใช้เวลาบนโลกออนไลน์วันละถึง 6 ชั่วโมง 42 นาที แสดงให้เห็นว่ามันได้เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คนไปแล้ว

จากข้อมูลที่ได้เห็น ลองมาแชร์กันหน่อยว่า Internet เข้ามามีบทบาทกับชีวิตคุณอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียนรู้ การใช้ชีวิตส่วนตัว มีเรื่องราวหรือประสบการณ์น่าสนใจอะไรที่อยากจะบอกเล่า เช่น Internet ช่วยให้คุณได้ค้นพบตัวเองหรือได้ทำในสิ่งที่ฝันไว้ได้อย่างไรบ้าง ขณะเดียวกัน ลองวิเคราะห์ดูด้วยว่าการพึ่งพา Internet ในชีวิตประจำวันมากเกินไป จะมีข้อเสียหรือความท้าทายอะไรบ้าง และเราจะรับมือกับสิ่งเหล่านั้นอย่างไร

ย้อนกลับไปในปี 1969 ในห้องแลปของมหาวิทยาลัย UCLA สหรัฐอเมริกา

ณ ที่แห่งนั้น กลุ่มนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ภายใต้การนำของ Leonard Kleinrock กำลังต่อสายเคเบิลเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งกับอีกเครื่องหนึ่งที่ห่างกันคนละฝั่งของประเทศ พวกเขาต้องการทดลองว่าจะสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านเครือข่ายได้จริงหรือไม่

สิ่งที่ Kleinrock และทีมงานอยากทำคือ ต้องการสร้างระบบเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศเข้าด้วยกัน เพื่อให้แบ่งปันทรัพยากรและข้อมูลกันได้ มันเป็นความท้าทายครั้งสำคัญ เพราะตอนนั้นคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องจักรที่มีขนาดใหญ่ ใช้งานยาก และสื่อสารกันผ่านภาษาที่ต่างกัน จึงเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงมันเข้าด้วยกันแบบ Real-Time

โปรเจคนี้มีชื่อว่า ARPANET ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานวิจัยขั้นสูงด้านการทหารของสหรัฐฯ หรือ ARPA (ปัจจุบันคือ DARPA) ที่ต้องการหาวิธีกระจายเครือข่ายสื่อสารเผื่อกรณีเกิดสงครามนิวเคลียร์ แรกเริ่มมีเพียง 4 มหาวิทยาลัยที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับ ARPANET เท่านั้น ทีมงานต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคทางเทคนิคมากมายในการพัฒนาโปรโตคอล (ภาษา) ที่ใช้ในการสื่อสารข้ามเครื่อง และการออกแบบอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่ายที่เสถียร แต่พวกเขาเชื่อว่านี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ในอนาคต

ต่อมา Vint Cerf และ Bob Kahn นักวิทยาศาสตร์จาก DARPA ได้ร่วมกันพัฒนาโปรโตคอลมาตรฐาน TCP/IP ที่ใช้เชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลายรูปแบบเข้าด้วยกัน จุดประกายให้เกิด “NSFNET” ซึ่งเป็นเครือข่ายระดับชาติที่เชื่อมมหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัยต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ เข้าด้วยกัน ตอนนั้น Internet ยังไม่ใช่เครือข่ายสาธารณะ แต่ถูกจำกัดอยู่เฉพาะในแวดวงวิชาการ และยังมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลต่ำมาก แต่นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นก็ยังคงขะมักเขม้นพัฒนาต่อไป

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1991 เมื่อ Tim Berners-Lee นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ประดิษฐ์ World Wide Web (WWW) ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นระบบแบ่งปันข้อมูลผ่านการเชื่อมโยงไฮเปอร์เท็กซ์บนอินเทอร์เน็ต โดยใช้ภาษา HTML และโปรโตคอล HTTP ในการสร้างและเข้าถึงเว็บไซต์ นับเป็นการเปิดประตูของ Internet สู่สาธารณะอย่างแท้จริง ผู้คนทั่วไปสามารถใช้เว็บเบราว์เซอร์ในการท่องโลกออนไลน์ได้อย่างสะดวกผ่านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และการพัฒนาเครือข่ายความเร็วสูง รวมถึงเว็บไซต์ที่มีประโยชน์ใช้งานมากขึ้น ก็ทำให้ Internet กลายเป็นเทคโนโลยีกระแสหลักที่ถาโถมเข้าสู่ชีวิตผู้คนทั่วโลกแบบที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน

อย่างไรก็ตาม ความนิยมของ Internet ที่มากขึ้น กลับเป็นดาบสองคมที่ทำให้ปัญหาใหม่ๆ ผุดขึ้นมามากมาย การระบาดของไวรัสคอมพิวเตอร์ การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล การก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ล้วนแล้วแต่กลายเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงและควบคุมได้ยาก บ่อยครั้งที่รัฐบาลและบริษัทเอกชนต้องประสบกับการโจมตีที่สร้างความเสียหายอย่างหนัก ขณะที่ประชาชนก็ต้องเผชิญกับความเสี่ยงหลายรูปแบบ จนเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับด้านมืดของ Internet มากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 Internet ได้วิวัฒนาการจากแหล่งข้อมูลข่าวสารธรรมดา ไปสู่ส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานที่ผลักดันเศรษฐกิจและสังคมโลก การค้าขายออนไลน์ การให้บริการคลาวด์ โซเชียลมีเดีย และสตรีมมิ่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ขณะที่ภาครัฐและเอกชนต่างก็เร่งปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ Internet จึงไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือสื่อสารอีกต่อไป แต่เป็นพื้นที่ที่ผู้คนใช้เวลาอยู่เป็นจำนวนมาก และยังเป็นที่มาของข้อมูลจำนวนมหาศาลที่นับวันจะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และผลกระทบทางสังคมของ Internet ก็ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญในอนาคต เรากำลังเผชิญกับคำถามที่ว่า ในโลกที่ทุกอย่างถูกเชื่อมต่อ ข้อมูลจำนวนมหาศาลถูกสร้างและใช้ประโยชน์อยู่ตลอดเวลา

เราจะสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความเป็นส่วนตัวได้อย่างไร อีกทั้งผู้ให้บริการและผู้กำกับดูแลควรมีบทบาทอย่างไรในการรับประกันว่าทุกคนจะสามารถใช้ประโยชน์จาก Internet ได้อย่างปลอดภัยและเท่าเทียม นั่นคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่กว่าการสร้างเทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างกติกาและจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างสรรค์สังคมที่ดีกว่าเดิมนั่นเอง

ไม่ต่างจากดาบสองคม Internet เป็นทั้งของขวัญและภัยคุกคาม ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกใช้มันเพื่อสร้างสรรค์หรือทำลายล้าง

ลองจินตนาการดูว่า ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า คุณอยากเห็นโลกของ Internet เป็นอย่างไร ทั้งในแง่ของเทคโนโลยี การนำไปใช้ประโยชน์ และผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คน สิ่งที่คุณหวังจะเห็นคือโลกออนไลน์ที่ปลอดภัย เปิดกว้าง และเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ หรือในทางตรงกันข้าม คุณกังวลว่าเราจะยิ่งพึ่งพา Internet มากขึ้นจนเกินไป จนสูญเสียการเชื่อมต่อระหว่างกันในโลกจริง หรือกลายเป็นเครื่องมือสำหรับการควบคุมและครอบงำ?

ถ้าหากคุณมีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่จะกำหนดทิศทางของ Internet ในวันข้างหน้า คุณจะทำอย่างไรเพื่อให้มันเป็นพลังบวกต่อโลกใบนี้ให้ได้มากที่สุด จะออกแบบกฎระเบียบ สร้างเทคโนโลยี หรือปลูกฝังจริยธรรมอย่างไรให้กับผู้ใช้งาน

ลองแชร์ความคิดเห็นและมุมมองของคุณ แล้วมาช่วยกันวาดภาพอนาคตของโลกออนไลน์ที่เราอยากเห็นร่วมกัน

ท้ายที่สุดแล้ว บทเรียนสำคัญจากเรื่องราวของการเกิดขึ้นและพัฒนาการของ Internet ก็คือ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ สิ่งที่สำคัญกว่าคือปัญญาและจริยธรรมในการนำเอาเครื่องมือนั้นไปใช้ เพื่อสร้างประโยชน์หรือโทษ เราต้องไม่ลืมว่าเบื้องหลังหน้าจอ ในอีกฟากฝั่งของโลกออนไลน์นั้นคือมนุษย์ผู้สร้างและขับเคลื่อนมัน เราทุกคนจึงมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางที่เครือข่ายอันทรงพลังนี้จะพาเราไป สู่สังคมที่เปิดกว้าง เท่าเทียม และมีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์ หรือสังคมที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน การล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และความแตกแยกทางความคิด สิ่งเหล่านี้ล้วนขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกสร้างสรรค์อนาคตร่วมกันอย่างไร ด้วยภูมิปัญญาและสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวมนั่นเอง

สี่ทศวรรษที่ผ่านมา Internet ได้เติบโตจากเครือข่ายเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งในห้องแลป กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกที่เปลี่ยนแปลงแทบทุกแง่มุมของชีวิตมนุษย์ มันได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของยุคสมัย ที่ขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม สร้างการปฏิวัติครั้งใหญ่ให้กับรูปแบบการสื่อสาร การค้าขาย และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของมวลมนุษยชาติ

ความสำเร็จของ Internet เกิดจากความกล้าฝันและมุ่งมั่นของผู้บุกเบิกจำนวนมาก ที่เชื่อมั่นในพลังของการสื่อสารอย่างเสรีและเปิดกว้าง พวกเขายอมเสี่ยงกับความล้มเหลวและความไม่แน่นอน เพื่อวางรากฐานของเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโลก แม้จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคทางเทคนิคและความไม่เข้าใจของคนในยุคนั้นมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ และพากเพียรพัฒนาต่อไปเพื่ออุดมการณ์ที่ยึดถือ

ในวันนี้ เมื่อ Internet ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปแล้ว คำถามสำคัญไม่ใช่แค่ว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้างบนโลกออนไลน์ แต่เป็นว่าเราจะใช้พลังที่ได้รับมาจากเครือข่ายนี้ ไปพัฒนาตัวเองและสังคมต่อไปอย่างไร เพื่อให้โลกเสมือนและโลกจริงสามารถก้าวไปข้างหน้าด้วยกันได้อย่างสมดุลและสร้างสรรค์ นั่นเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าการพัฒนาเทคโนโลยีเสียอีก แต่อยู่ที่การพัฒนามนุษย์ผู้ใช้เทคโนโลยีนั้นด้วย

ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของยุคดิจิทัลที่พัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว และปัญหาที่ผุดขึ้นมาพร้อมกันนั้น สิ่งที่พวกเราทุกคนจำเป็นต้องตระหนักคือภูมิปัญญาในการใช้ประโยชน์จาก Internet ให้คุ้มค่าและสร้างสรรค์ที่สุด ไม่ใช่เพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อสังคมและโลกที่เราอาศัยอยู่ร่วมกัน ผ่านการเลือกรับข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณ การใช้เวลาบนโลกออนไลน์ให้เป็นประโยชน์ การยึดมั่นในจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสาธารณะ รวมถึงการสร้างสมดุลระหว่างโลกเสมือนและโลกแห่งความเป็นจริง เพื่อเสริมพลังแก่กันและกัน

Interactive: มาถึงตรงนี้ ผมอยากชวนให้ทุกท่านได้ร่วมแบ่งปันมุมมองและไอเดียของตัวเองสักหน่อยครับ ว่าคุณคิดว่าในฐานะปัจเจกบุคคล เราจะมีส่วนร่วมในการใช้ประโยชน์จาก Internet เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมได้อย่างไร

ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสนับสนุนเนื้อหาสร้างสรรค์ การแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์ การใช้โซเชียลมีเดียในเชิงสร้างสรรค์ การรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ การเชื่อมโยงกลุ่มคนที่มีความสนใจใกล้เคียงกันเพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลง หรือการใช้ประโยชน์จาก Internet เพื่อทำโครงการจิตอาสาต่างๆ

ลองนึกภาพว่า หากเราทุกคนช่วยกันเป็นพลเมืองดิจิทัลที่ตื่นรู้ รู้เท่าทัน ใช้สื่อออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ และช่วยกันดูแลรักษาพื้นที่สาธารณะบนโลกอินเทอร์เน็ต เราจะสามารถสร้างชุมชนออนไลน์ที่เข้มแข็ง เกื้อกูล และเป็นพลังบวกให้แก่กันและกัน จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกของสังคมในภาพรวม