Internet – Revolutionized communication, commerce, and information exchange globally
เรื่อง “Internet – เครือข่ายที่ปฏิวัติวงการสื่อสาร การค้า และการแลกเปลี่ยนข้อมูลทั่วโลก”
Internet ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีธรรมดา แต่เป็นพลังที่สั่นคลอนโลก ปฏิวัติรูปแบบการดำเนินชีวิต ตลอดจนระบบเศรษฐกิจและสังคมของมนุษย์จากหน้ามือเป็นหลังมือ
ย้อนกลับไปในยุคก่อน Internet เราต้องใช้เวลาเป็นวันหรือหลายสัปดาห์เพื่อส่งจดหมายข้ามทวีป โทรศัพท์ทางไกลก็มีราคาแพงหูฉี่ การหาข้อมูลต้องไปค้นหนังสือในห้องสมุดหรือถามผู้รู้ การทำธุรกิจส่วนใหญ่เน้นตลาดในประเทศ และการแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างผู้คนมีข้อจำกัดอย่างมาก หลายคนจึงมองว่า Internet ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นเพียงของเล่นไร้สาระของเหล่านักวิทยาศาสตร์เท่านั้น
แต่ด้วยคุณสมบัติที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และผู้คนเข้าด้วยกันได้อย่างไร้ขีดจำกัด Internet ได้กลายเป็นเครือข่ายที่ปลดปล่อยศักยภาพทางการสื่อสารของมนุษย์ มันไม่เพียงช่วยให้เราสามารถส่งอีเมล คุยโทรศัพท์ผ่านเน็ต หรือค้นหาข้อมูลได้อย่างง่ายดาย หากยังเป็นพื้นที่สาธารณะที่ผู้คนสามารถแบ่งปันความคิด แลกเปลี่ยนมุมมอง และสร้างชุมชนออนไลน์ระหว่างกันได้ มันกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่ความรู้ กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ด้วยพลังในการเชื่อมต่อที่ไร้ขีดจำกัดและอิสระ Internet ได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกยุคดิจิทัล ผ่านการเกิดขึ้นของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและสตาร์ทอัพมากมาย กำลังซื้อถูกกระจายสู่ผู้บริโภคทั่วโลก ในขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กก็สามารถเข้าถึงตลาดในระดับนานาชาติได้อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ความสำเร็จของยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon, Alibaba และ Airbnb ได้พิสูจน์แล้วว่า Internet คือหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์เดิมๆ และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ อย่างมหาศาล
คุณจินตนาการได้ไหมว่าถ้าวันนึงไม่มี Internet ชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไปขนาดไหน แล้วเราจะยังสามารถติดต่อสื่อสารและดำเนินธุรกิจข้ามโลกได้สะดวกเหมือนปัจจุบันอีกหรือไม่?
สำหรับผมแล้ว Internet ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผมได้ติดต่อกับผู้คนทั่วโลก เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ และสร้างอาชีพที่ไม่จำกัดอยู่แค่พื้นที่ทางกายภาพอีกต่อไป
ผมยังจำความทึ่งในวันแรกที่ได้ใช้ Internet ได้ดี มันเป็นโลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยเสียงและสีสัน ข้อมูลมหาศาลที่รอให้เราได้สำรวจ และผู้คนมากมายจากทั่วทุกมุมโลกที่พร้อมจะแบ่งปันเรื่องราวและมุมมองหลากหลาย แม้เราจะไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริง แต่ก็รู้สึกเหมือนได้เชื่อมต่อกันอย่างใกล้ชิด มันเหมือนประตูมิติที่เปิดออกสู่อีกขอบฟ้า ที่เราสามารถไปได้ไกลกว่าที่เคยจินตนาการ
ยิ่งได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของ Internet ผมก็ยิ่งทึ่งในความทะเยอทะยานและวิสัยทัศน์ของบรรดาผู้บุกเบิกอย่าง Vint Cerf, Bob Kahn และ Tim Berners-Lee ที่กล้าฝันและลงมือสร้างเทคโนโลยีชิ้นนี้ขึ้นมา ท่ามกลางความไม่แน่นอนและการต่อต้านมากมาย พวกเขายังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของการสื่อสารแบบเปิดและเสรี ซึ่งผลลัพธ์ก็คือการปฏิวัติครั้งสำคัญที่เปลี่ยนโฉมหน้าของโลกไปตลอดกาล
แต่ Internet ก็ไม่ได้มีแต่ด้านสว่างเสมอไป ในอีกมุมมันก็เป็นดั่งกระจกสะท้อนด้านมืดของสังคมเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดส่วนตัว การแพร่ข่าวปลอม หรือการโจมตีทางไซเบอร์ สิ่งเหล่านี้ทำให้เราต้องหันกลับมาถามตัวเองว่าเสรีภาพบนโลกออนไลน์ที่ได้มา จะต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงหรือภัยคุกคามรูปแบบใหม่หรือไม่?
“ผลกระทบของ Internet ที่มีต่อสังคมนั้นประเมินค่าไม่ได้ มันเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีไม่กี่อย่างที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนไปอย่างสิ้นเชิง” – Vint Cerf บิดาแห่ง Internet
“การเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ตเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ ที่ไม่เพียงเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสาร แต่ยังขับเคลี่อนเศรษฐกิจและสังคมโลกเข้าสู่ยุคสารสนเทศอย่างเต็มตัว” – Manuel Castells นักสังคมวิทยาชื่อดัง
“Internet เป็นเทคโนโลยีที่อันตราย เพราะมันให้อำนาจกับปัจเจกมากเกินไป ทำให้รัฐบาลยากที่จะควบคุมการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสาร ซึ่งนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองได้ง่าย” – Eric Schmidt อดีต CEO ของ Google
Internet อาจจะเป็นเหมือนยาวิเศษที่แก้ปัญหาได้แทบทุกอย่าง แต่ในอีกด้านมันก็เหมือนกับมีดสองคมที่อาจบาดผู้ใช้เองได้โดยไม่รู้ตัว คำถามคือเราจะหาสมดุลระหว่างเสรีภาพกับการควบคุมบนโลกออนไลน์ได้อย่างไร โดยที่ไม่ลิดรอนคุณประโยชน์ของเทคโนโลยีชิ้นนี้?
Vint Cerf บิดาแห่ง Internet ได้ยืนยันอย่างหนักแน่นถึงผลกระทบมหาศาลของเทคโนโลยีชิ้นนี้ที่มีต่อมนุษยชาติ มันไม่เพียงแค่เปลี่ยนรูปแบบการสื่อสาร แต่ยังเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ Manuel Castells ยังชี้ให้เห็นอีกว่า Internet คือจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ที่นำพาเศรษฐกิจและสังคมของเราก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ มันเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ขับเคลื่อนธุรกิจและการพัฒนาในหลายภาคส่วน
อย่างไรก็ตาม Eric Schmidt อดีต CEO Google ก็ได้ตั้งข้อสังเกตถึงด้านมืดของ Internet ที่อาจจะอันตรายเกินกว่าที่หลายคนคาดคิด เมื่ออำนาจการสื่อสารกระจายไปสู่ปัจเจก การควบคุมและปกป้องความมั่นคงของข้อมูลก็ยากขึ้น ประเด็นอ่อนไหวทางสังคม การเมือง ถูกส่งต่อและขยายวงกว้างได้ง่ายเพียงไม่กี่คลิก ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบได้เช่นกัน
งานวิจัยจาก McKinsey Global Institute ระบุชัดเจนว่า Internet กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างงานใหม่ๆ ผ่านการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ, อุตสาหกรรมไอที และบริการดิจิทัล อีกทั้งยังช่วยสร้างโอกาสให้ SME เข้าถึงตลาดโลก ขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าและบริการได้สะดวกขึ้น คาดว่า Internet มีส่วนขับเคลื่อน GDP โลกถึง 3-4% เลยทีเดียว
สอดคล้องกับอีกงานวิจัยจาก Pew Research Center เผยว่า Internet ส่งผลต่อชีวิตผู้คนทั่วโลกอย่างมหาศาล จากการสำรวจในปี 2018 พบว่ากว่า 89% ของชาวอเมริกันใช้ Internet ในขณะที่มีผู้ใช้งานทั่วโลกแล้วกว่า 4 พันล้านคน ผู้คนใช้ Internet เพื่อติดต่อสื่อสาร ค้นหาข้อมูล ซื้อของออนไลน์ และใช้บริการสตรีมมิ่ง โดยเฉลี่ยแล้วคนเราใช้เวลาบนโลกออนไลน์วันละถึง 6 ชั่วโมง 42 นาที แสดงให้เห็นว่ามันได้เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คนไปแล้ว
จากข้อมูลที่ได้เห็น ลองมาแชร์กันหน่อยว่า Internet เข้ามามีบทบาทกับชีวิตคุณอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียนรู้ การใช้ชีวิตส่วนตัว มีเรื่องราวหรือประสบการณ์น่าสนใจอะไรที่อยากจะบอกเล่า เช่น Internet ช่วยให้คุณได้ค้นพบตัวเองหรือได้ทำในสิ่งที่ฝันไว้ได้อย่างไรบ้าง ขณะเดียวกัน ลองวิเคราะห์ดูด้วยว่าการพึ่งพา Internet ในชีวิตประจำวันมากเกินไป จะมีข้อเสียหรือความท้าทายอะไรบ้าง และเราจะรับมือกับสิ่งเหล่านั้นอย่างไร
ย้อนกลับไปในปี 1969 ในห้องแลปของมหาวิทยาลัย UCLA สหรัฐอเมริกา
ณ ที่แห่งนั้น กลุ่มนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ภายใต้การนำของ Leonard Kleinrock กำลังต่อสายเคเบิลเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งกับอีกเครื่องหนึ่งที่ห่างกันคนละฝั่งของประเทศ พวกเขาต้องการทดลองว่าจะสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านเครือข่ายได้จริงหรือไม่
สิ่งที่ Kleinrock และทีมงานอยากทำคือ ต้องการสร้างระบบเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศเข้าด้วยกัน เพื่อให้แบ่งปันทรัพยากรและข้อมูลกันได้ มันเป็นความท้าทายครั้งสำคัญ เพราะตอนนั้นคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องจักรที่มีขนาดใหญ่ ใช้งานยาก และสื่อสารกันผ่านภาษาที่ต่างกัน จึงเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงมันเข้าด้วยกันแบบ Real-Time
โปรเจคนี้มีชื่อว่า ARPANET ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานวิจัยขั้นสูงด้านการทหารของสหรัฐฯ หรือ ARPA (ปัจจุบันคือ DARPA) ที่ต้องการหาวิธีกระจายเครือข่ายสื่อสารเผื่อกรณีเกิดสงครามนิวเคลียร์ แรกเริ่มมีเพียง 4 มหาวิทยาลัยที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับ ARPANET เท่านั้น ทีมงานต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคทางเทคนิคมากมายในการพัฒนาโปรโตคอล (ภาษา) ที่ใช้ในการสื่อสารข้ามเครื่อง และการออกแบบอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่ายที่เสถียร แต่พวกเขาเชื่อว่านี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ในอนาคต
ต่อมา Vint Cerf และ Bob Kahn นักวิทยาศาสตร์จาก DARPA ได้ร่วมกันพัฒนาโปรโตคอลมาตรฐาน TCP/IP ที่ใช้เชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลายรูปแบบเข้าด้วยกัน จุดประกายให้เกิด “NSFNET” ซึ่งเป็นเครือข่ายระดับชาติที่เชื่อมมหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัยต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ เข้าด้วยกัน ตอนนั้น Internet ยังไม่ใช่เครือข่ายสาธารณะ แต่ถูกจำกัดอยู่เฉพาะในแวดวงวิชาการ และยังมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลต่ำมาก แต่นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นก็ยังคงขะมักเขม้นพัฒนาต่อไป
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1991 เมื่อ Tim Berners-Lee นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ประดิษฐ์ World Wide Web (WWW) ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นระบบแบ่งปันข้อมูลผ่านการเชื่อมโยงไฮเปอร์เท็กซ์บนอินเทอร์เน็ต โดยใช้ภาษา HTML และโปรโตคอล HTTP ในการสร้างและเข้าถึงเว็บไซต์ นับเป็นการเปิดประตูของ Internet สู่สาธารณะอย่างแท้จริง ผู้คนทั่วไปสามารถใช้เว็บเบราว์เซอร์ในการท่องโลกออนไลน์ได้อย่างสะดวกผ่านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และการพัฒนาเครือข่ายความเร็วสูง รวมถึงเว็บไซต์ที่มีประโยชน์ใช้งานมากขึ้น ก็ทำให้ Internet กลายเป็นเทคโนโลยีกระแสหลักที่ถาโถมเข้าสู่ชีวิตผู้คนทั่วโลกแบบที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน
อย่างไรก็ตาม ความนิยมของ Internet ที่มากขึ้น กลับเป็นดาบสองคมที่ทำให้ปัญหาใหม่ๆ ผุดขึ้นมามากมาย การระบาดของไวรัสคอมพิวเตอร์ การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล การก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ล้วนแล้วแต่กลายเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงและควบคุมได้ยาก บ่อยครั้งที่รัฐบาลและบริษัทเอกชนต้องประสบกับการโจมตีที่สร้างความเสียหายอย่างหนัก ขณะที่ประชาชนก็ต้องเผชิญกับความเสี่ยงหลายรูปแบบ จนเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับด้านมืดของ Internet มากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 Internet ได้วิวัฒนาการจากแหล่งข้อมูลข่าวสารธรรมดา ไปสู่ส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานที่ผลักดันเศรษฐกิจและสังคมโลก การค้าขายออนไลน์ การให้บริการคลาวด์ โซเชียลมีเดีย และสตรีมมิ่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ขณะที่ภาครัฐและเอกชนต่างก็เร่งปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ Internet จึงไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือสื่อสารอีกต่อไป แต่เป็นพื้นที่ที่ผู้คนใช้เวลาอยู่เป็นจำนวนมาก และยังเป็นที่มาของข้อมูลจำนวนมหาศาลที่นับวันจะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และผลกระทบทางสังคมของ Internet ก็ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญในอนาคต เรากำลังเผชิญกับคำถามที่ว่า ในโลกที่ทุกอย่างถูกเชื่อมต่อ ข้อมูลจำนวนมหาศาลถูกสร้างและใช้ประโยชน์อยู่ตลอดเวลา
เราจะสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความเป็นส่วนตัวได้อย่างไร อีกทั้งผู้ให้บริการและผู้กำกับดูแลควรมีบทบาทอย่างไรในการรับประกันว่าทุกคนจะสามารถใช้ประโยชน์จาก Internet ได้อย่างปลอดภัยและเท่าเทียม นั่นคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่กว่าการสร้างเทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างกติกาและจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างสรรค์สังคมที่ดีกว่าเดิมนั่นเอง
ไม่ต่างจากดาบสองคม Internet เป็นทั้งของขวัญและภัยคุกคาม ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกใช้มันเพื่อสร้างสรรค์หรือทำลายล้าง
ลองจินตนาการดูว่า ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า คุณอยากเห็นโลกของ Internet เป็นอย่างไร ทั้งในแง่ของเทคโนโลยี การนำไปใช้ประโยชน์ และผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คน สิ่งที่คุณหวังจะเห็นคือโลกออนไลน์ที่ปลอดภัย เปิดกว้าง และเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ หรือในทางตรงกันข้าม คุณกังวลว่าเราจะยิ่งพึ่งพา Internet มากขึ้นจนเกินไป จนสูญเสียการเชื่อมต่อระหว่างกันในโลกจริง หรือกลายเป็นเครื่องมือสำหรับการควบคุมและครอบงำ?
ถ้าหากคุณมีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่จะกำหนดทิศทางของ Internet ในวันข้างหน้า คุณจะทำอย่างไรเพื่อให้มันเป็นพลังบวกต่อโลกใบนี้ให้ได้มากที่สุด จะออกแบบกฎระเบียบ สร้างเทคโนโลยี หรือปลูกฝังจริยธรรมอย่างไรให้กับผู้ใช้งาน
ลองแชร์ความคิดเห็นและมุมมองของคุณ แล้วมาช่วยกันวาดภาพอนาคตของโลกออนไลน์ที่เราอยากเห็นร่วมกัน
นี่คือวิธีสร้างสมดุลในการใช้ Internet ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่คุณอาจนำไปใช้สักข้อ เพื่อให้เป็นอิสระจากการต้องตกเป็นทาสของ Internet
1.กำหนดเป้าหมายและเวลาในการใช้งานให้ชัดเจน เลือกเสพเฉพาะเนื้อหาที่มีประโยชน์ต่อตัวเองและคนรอบข้าง
2. ใช้เวลากับการสร้างมากกว่าการบริโภค สร้างสรรค์เนื้อหาที่ดีเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคม แทนที่จะเป็นแค่ผู้รับข้อมูลฝ่ายเดียว
3. ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลก่อนแชร์ต่อ เพื่อลดการกระจายของข่าวปลอมและข้อมูลเท็จ
4. ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของตัวเอง ด้วยการอัปเดตซอฟต์แวร์ให้ทันสมัย ตั้งรหัสผ่านที่คาดเดายาก และระมัดระวังการแชร์ข้อมูลส่วนตัว
5. จัดสรรเวลาให้กับกิจกรรมนอกหน้าจอ เช่น การเข้าสังคม การออกกำลังกาย หรือการทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์
6. หาสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตในโลกออนไลน์และออฟไลน์ ไม่ยึดติดหรือพึ่งพาอุปกรณ์ดิจิทัลจนเกินไป
7. ใช้ประโยชน์จาก Internet ในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ๆ ที่จะสามารถช่วยต่อยอดในชีวิตจริงได้
8. ให้เกียรติและเคารพผู้อื่นบนโลกออนไลน์ เหมือนที่เราทำบนโลกออฟไลน์ หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่สร้างความเกลียดชัง
ท้ายที่สุดแล้ว บทเรียนสำคัญจากเรื่องราวของการเกิดขึ้นและพัฒนาการของ Internet ก็คือ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ สิ่งที่สำคัญกว่าคือปัญญาและจริยธรรมในการนำเอาเครื่องมือนั้นไปใช้ เพื่อสร้างประโยชน์หรือโทษ เราต้องไม่ลืมว่าเบื้องหลังหน้าจอ ในอีกฟากฝั่งของโลกออนไลน์นั้นคือมนุษย์ผู้สร้างและขับเคลื่อนมัน เราทุกคนจึงมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางที่เครือข่ายอันทรงพลังนี้จะพาเราไป สู่สังคมที่เปิดกว้าง เท่าเทียม และมีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์ หรือสังคมที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน การล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และความแตกแยกทางความคิด สิ่งเหล่านี้ล้วนขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกสร้างสรรค์อนาคตร่วมกันอย่างไร ด้วยภูมิปัญญาและสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวมนั่นเอง
สี่ทศวรรษที่ผ่านมา Internet ได้เติบโตจากเครือข่ายเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งในห้องแลป กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกที่เปลี่ยนแปลงแทบทุกแง่มุมของชีวิตมนุษย์ มันได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของยุคสมัย ที่ขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม สร้างการปฏิวัติครั้งใหญ่ให้กับรูปแบบการสื่อสาร การค้าขาย และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของมวลมนุษยชาติ
ความสำเร็จของ Internet เกิดจากความกล้าฝันและมุ่งมั่นของผู้บุกเบิกจำนวนมาก ที่เชื่อมั่นในพลังของการสื่อสารอย่างเสรีและเปิดกว้าง พวกเขายอมเสี่ยงกับความล้มเหลวและความไม่แน่นอน เพื่อวางรากฐานของเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโลก แม้จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคทางเทคนิคและความไม่เข้าใจของคนในยุคนั้นมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ และพากเพียรพัฒนาต่อไปเพื่ออุดมการณ์ที่ยึดถือ
ในวันนี้ เมื่อ Internet ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปแล้ว คำถามสำคัญไม่ใช่แค่ว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้างบนโลกออนไลน์ แต่เป็นว่าเราจะใช้พลังที่ได้รับมาจากเครือข่ายนี้ ไปพัฒนาตัวเองและสังคมต่อไปอย่างไร เพื่อให้โลกเสมือนและโลกจริงสามารถก้าวไปข้างหน้าด้วยกันได้อย่างสมดุลและสร้างสรรค์ นั่นเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าการพัฒนาเทคโนโลยีเสียอีก แต่อยู่ที่การพัฒนามนุษย์ผู้ใช้เทคโนโลยีนั้นด้วย
ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของยุคดิจิทัลที่พัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว และปัญหาที่ผุดขึ้นมาพร้อมกันนั้น สิ่งที่พวกเราทุกคนจำเป็นต้องตระหนักคือภูมิปัญญาในการใช้ประโยชน์จาก Internet ให้คุ้มค่าและสร้างสรรค์ที่สุด ไม่ใช่เพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อสังคมและโลกที่เราอาศัยอยู่ร่วมกัน ผ่านการเลือกรับข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณ การใช้เวลาบนโลกออนไลน์ให้เป็นประโยชน์ การยึดมั่นในจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสาธารณะ รวมถึงการสร้างสมดุลระหว่างโลกเสมือนและโลกแห่งความเป็นจริง เพื่อเสริมพลังแก่กันและกัน
Internet จึงไม่ใช่แค่ความท้าทายทางเทคโนโลยี แต่เป็นทดสอบภูมิปัญญาของมนุษยชาติว่า เราจะสามารถใช้เครือข่ายอันทรงพลังนี้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคน และสร้างสังคมที่เป็นธรรม เท่าเทียม และเอื้ออาทรต่อกันได้อย่างไร เพื่อเป็นรากฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต ซึ่งหากว่าเราช่วยกันพิชิตความท้าทายนี้ได้สำเร็จ นั่นจะเป็นความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่กว่าการประดิษฐ์ Internet เสียอีก และจะเป็นมรดกอันล้ำค่าที่เราจะมอบให้กับลูกหลานรุ่นต่อไปได้อย่างภาคภูมิใจ
Interactive: มาถึงตรงนี้ ผมอยากชวนให้ทุกท่านได้ร่วมแบ่งปันมุมมองและไอเดียของตัวเองสักหน่อยครับ ว่าคุณคิดว่าในฐานะปัจเจกบุคคล เราจะมีส่วนร่วมในการใช้ประโยชน์จาก Internet เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมได้อย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสนับสนุนเนื้อหาสร้างสรรค์ การแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์ การใช้โซเชียลมีเดียในเชิงสร้างสรรค์ การรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ การเชื่อมโยงกลุ่มคนที่มีความสนใจใกล้เคียงกันเพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลง หรือการใช้ประโยชน์จาก Internet เพื่อทำโครงการจิตอาสาต่างๆ
ลองนึกภาพว่า หากเราทุกคนช่วยกันเป็นพลเมืองดิจิทัลที่ตื่นรู้ รู้เท่าทัน ใช้สื่อออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ และช่วยกันดูแลรักษาพื้นที่สาธารณะบนโลกอินเทอร์เน็ต เราจะสามารถสร้างชุมชนออนไลน์ที่เข้มแข็ง เกื้อกูล และเป็นพลังบวกให้แก่กันและกัน จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกของสังคมในภาพรวม